‘Converse x Wonka’ แบรนด์สนีคเกอร์สัญชาติอเมริกัน Converse converse examples เปิดตัวคอลเลกชั่น ‘Converse x Wonka’ รองเท้าที่มาพร้อมดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ยอดฮิตในขณะนี้อย่าง Wonka โดยในคอลเลกชั่นนี้จะประกอบไปด้วยรองเท้าทั้งหมด 5 แบบ อันได้แก่ Chuck 70, Chuck, CX Chuck ในสีน้ำตาล ในชื่อ
‘Chocolate Swirl’ สีส้มพร้อมด้วยเชือกสีเขียว ในชื่อ’Oompa Loompa’ และสีแดง, Chuck Taylor All Star สีชมพูพร้อมลาย ภายใต้ชื่อ ‘Swirl’ และ All Star BB Trilliant CX wonka x charlie converse x willy wonka ในสีทอง อันชวนให้นึกถึง Gold Ticket เข้าไปชมโรงงานช็อกโกแลตกัน converse x willy wonka
เริ่มต้นที่โมเดล Chuck 70
ที่มาในสีน้ำตาลลวดลาย Chocolate Swirl และสีส้มเชือกสีเขียวในชื่อ Oompa Loompa ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากชาวคนแคระตัวจิ๋วที่ทำงานในโรงงานช็อกโกแลตของ Wonka ในขณะที่โมเดล Chuck Taylor All Star มาพร้อมสีชมพูหวานฉ่ำลวดลาย Swirl แสนสดใส และอีกดีไซน์ในสีแดงเชอร์รี่ที่ทำมาจากวัสดุผ้า Corduroy ที่เพิ่มลูกเล่นและมิติให้กับรองเท้ารุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี ปิดท้ายด้วยรองเท้าโมเดล All Star BB Trilliant CX ที่มาในสีทองอร่ามอันโดดเด่นสะดุดตาที่ชวนให้นึกถึง Golden Ticket ตั๋วทองสำหรับผู้โชคดีที่ได้เข้าไปเยี่ยมชมโรงงานช็อกโกแลตสุดมหัศจรรย์ภายในเรื่องนั่นเอง
นอกจากรองเท้าทั้ง 5 แบบ ยังมีทั้งเสื้อผ้าและแอกเซสซอรีอื่น ๆ ที่ตกแต่งด้วยกราฟิกภายใต้ธีม Wonka ให้เหล่าสาวกแบรนด์และแฟน ๆ ภาพยนตร์ได้คอมพลีทลุคกันอย่างสนุกสนาน
Charlie and the Chocolate Factory: ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ต้นทางชีวิตและความฝันของเด็ก…เริ่มต้นที่บ้าน
วิลลี่ วองก้า คือเจ้าของโรงงานช็อกโกแลตที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากภาพยนตร์แฟนตาซี Charlie and the Chocolate Factory ที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมเยาวชนชื่อเดียวกันของโรอัลด์ ดาห์ล
วิลลี่ วองก้า เป็นตัวแทนของผู้ใหญ่ที่มีบาดแผลจากการเลี้ยงดูของพ่อ ทำให้เขารู้สึกประหม่าและอึดอัดใจทุกครั้งที่ต้องพูดถึงชีวิตวัยเด็กที่มีพ่อคอยบงการชีวิต จุดเปลี่ยนของวิลลี่ วองก้าคือการแตกหักกับพ่อ และออกมาทำร้านขนมในฝัน ก่อนพัฒนาต่อยอดกลายเป็นโรงงานช็อกโกแลตอันโด่งดัง ซึ่งเขาได้ซ่อนตั๋วทองคำห้าใบไว้ในช็อกโกแลต เพื่อให้ลูกค้าผู้โชคดีได้มาทัวร์โรงงานที่ขึ้นชื่อว่าลึกลับที่สุดในโลก และนั่นทำให้เขาพบกับจุดเปลี่ยนในชีวิตอีกครั้ง
ตอนเด็กๆ สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือการที่พ่อแม่ไม่รัก ดังนั้นไม่ว่าพ่อแม่สอนหรือบอกให้ทำอะไร ผมมักทำอย่างไม่มีข้อแม้…แม้บางครั้งอาจทำเพราะกลัวถูกลงโทษจนเมื่อเวลาผ่านไปสิบปี ในวันที่ผมทำบัตรประชาชนครั้งแรก ผมกลับพบว่าสิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ การที่พ่อกับแม่ไม่ยอมรับความฝันของผมความฝันของผม ณ เวลานั้น มีทั้งแบบตามกระแสคือการเป็นนักแสดงตลกแบบ ‘โรวัน แอตคินสัน’ (ผู้รับบทมิสเตอร์บีน) และตามใจปรารถนาคือการเป็นครูในโรงเรียนชนบทอันห่างไกลแบบ ‘ครูสอง’ ในภาพยนตร์เรื่องคิดถึงวิทยา
แต่ไม่ว่าจะเป็นดาราตลกหรือครูบ้านนอก ดูเหมือนว่าความฝันของผมกับพ่อแม่คือเส้นขนานที่เข้ากันไม่ได้ เพราะพ่อแม่อยากให้ผมเดินบนเส้นทางสายธุรกิจเหมือนกับท่าน ในการถกเถียงครั้งสุดท้าย ผมจำได้ว่าตัวเองถึงกับ ‘หุบปาก’ โดยอัตโนมัติ เมื่อได้ยินพ่อแม่พูดว่า “ถ้าคิดว่าสิ่งที่คิดมันดีมันถูกต้องก็ออกไปอยู่ข้างนอกแล้วไม่ต้องมายุ่งกับเงินกู”
แน่นอนว่าเมื่อมนุษย์ผิดหวังกับสิ่งที่ใจปรารถนา เราก็มักจะหาวิธีเยียวยาจิตใจในแบบที่ต่างกัน ซึ่งวิธีของผมคือการฟังเพลงประเภทพ่อแม่ไม่เข้าใจ หรือไม่ก็หาภาพยนตร์ที่ลูกหนีออกจากบ้านเพื่อทำตามความฝันของตัวเองจนประสบความสำเร็จ ซึ่ง Charlie and the Chocolate Factory ในปี 2005 ก็ถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ผมรักและช่วยฮีลใจผมเสมอในวันที่รู้สึกไม่เข้าใจพ่อแม่
Charlie and the Chocolate Factory ว่าด้วยเรื่องราวของเจ้าหนูชาร์ลีที่บังเอิญโชคดีเป็นหนึ่งในเด็กห้าคนที่ได้รับตั๋วทองสำหรับการเข้าชมโรงงานช็อกโกแลตที่ใหญ่ที่สุดในโลก และด้วยความเป็นเด็กดีมีมารยาททำให้เขาได้เป็นผู้สืบทอดโรงงานต่อจาก ‘วิลลี่ วองก้า’ ผู้ลึกลับ
จุดที่ผมสนใจในภาพยนตร์แฟนตาซีเรื่องนี้ไม่ใช่ความอลังการของโรงงานช็อกโกแลต แต่กลับเป็นภูมิหลังอันแสนเจ็บปวดระหว่างวิลลี่ วองก้า กับพ่อผู้เข้มงวด และนั่นทำให้วิลลี่ วองก้า ผู้ลึกลับกลายเป็นตัวละครที่ผมอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง